1.น้ำหนักชิ้นงานที่ยก ท่านควรพิจารณาเลือกรถโฟล์คลิฟท์ที่มีขนาดมากกว่าน้ำหนักของชิ้นงานที่จะยก เพื่อลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุ และเหตุการณ์ที่อาจส่งผลร้ายต่อตัวธุรกิจ

          2.ความสูงของชิ้นงาน ควรเลือกซื้อรถโฟล์คลิฟท์ที่มีความสูงของเสายกที่สามารถยกได้อย่างปลอดภัย แต่ต้องคำนึงถึงเรื่องน้ำหนักและขนาดของชิ้นงานด้วย เนื่องจากว่าความสูงนั้นสัมพันธ์โดยตรงกับสมดุลของรถโฟล์คลิฟท์ หากท่านเลือกใช้ไม่ถูกต้อง

          3.เครื่องยนต์ รถโฟล์คลิฟท์ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ใหญ่ๆ คือ รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า และ รถโฟล์คลิฟท์สันดาปภายใน ซึ่งแต่ละประเภทนั้นมีข้อดีที่แตกต่างกัน ท่านควรศึกษาให้ดีก่อนเลือกซื้อ ตัวอย่างสถานการณ์ ในการเลือก “สเปครถโฟล์คลิฟท์” การพิจารณาเลือกรถโฟล์คลิฟท์ที่ใช่สำหรับคุณ นี้คือ 3 สถานการณ์ที่ผู้เขียนอยากให้ทุกท่านทราบ 1.Capacity น้ำหนักที่ต้องการยก การพิจารณาเรื่องน้ำหนักที่จะยก ควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ น้ำหนักของสินค้า ตัวอย่าง ปกติท่านยกแต่ของ 1.5 ตัน หรือ 1,500 กิโลกรัม มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่ต้องยกของ 2.7 ตัน หรือ 2,700 กิโล ลักษณะนี้ผู้เขียนขอแนะนำให้ เลือกรถโฟล์คลิฟท์ 3 ตัน เพื่อลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน 2.ความสูงชั้นวางสินค้า หากชั้นวางสินค้ามีความสูง 3 เมตร การใช้งานรถโฟล์คลิฟท์ที่เสายาว 3 เมตร อาจไม่สมควร เท่าไหร่ในมุมมองของผู้เขียน เพราะชั้นวางสินค้า เท่ากับ ความสูงของตัวรถ เมื่อยกสุดมันจะเท่ากันพอดี ไม่สามารถที่จะยกพาเลทหรือยกสินค้าให้ลอยได้ ลักษณะนี้ควรที่จะใช้ รุ่น 3.5 เมตรขึ้นไป คือ 4 เมตรจะดีกว่า หรือติดต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำปรึกษา 3.ลักษณะการใช้งาน สถานที่ ในการใช้งานรถโฟล์คลิฟท์ จัดเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ ภายนอกอาคาร หรือ ภายในอาคาร พื้นที่ชันลาดเอียงหรือไม่ เป็นพื้นปูนปกติ ใช้งานหนักขนาดไหน 12 ชั่วโมงต่อวัน หรือ มีการเปลี่ยนกะให้เครื่องพัก ส่วนนี้ควรสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านรถโฟล์คลิฟท์โดยตรง เพื่อให้ท่านได้รถโฟล์คลิฟท์ที่ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด เช่นหากท่านต้องการใช้งานในคลังสินค้าเกี่ยวกับอาหาร หรือ ยา การใช้งานรถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า จะมีความเหมาะสมมากกว่าการใช้รถโฟล์คลิฟท์ แบบสันดาปภายใน